เทศกาลวัฒนธรรมซอลซอง’ ผสมผสานกับเทศกาลพริกไทยแดงอึมซอง

เทศกาลวัฒนธรรมซอลซอง’ ผสมผสานกับเทศกาลพริกไทยแดงอึมซอง

jumbo jili

Eumseong-gun, Chungcheongbuk-do ได้จัดเทศกาลวัฒนธรรมและศิลปะขึ้นเองในเดือนสิงหาคมหรือกันยายนของทุกปีตั้งแต่ปี 1982 เพื่อประโยชน์ในการสืบทอดและพัฒนาวัฒนธรรมและศิลปะดั้งเดิมและความกลมกลืนระหว่างกองทัพกับประชาชน ได้รับการตั้งชื่อว่า Seolseong Cultural Festival โดยอ้างถึง Seolseong (雪城) ซึ่งเป็นชื่อสถานที่เดิมของ Eumseong-gun ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ได้มีการจัดขึ้นควบคู่ไปกับเทศกาล Eumseong Red Pepper เพื่อสร้างเทศกาลวัฒนธรรมและศิลปะและเทศกาลทางเศรษฐกิจที่ผสมผสานเทศกาลวัฒนธรรมและศิลปะเข้ากับการขายสินค้าเกษตรพิเศษ โดยมุ่งเน้นการเผยแพร่และส่งเสริมความเป็นเลิศของพริกไทยอึมซองผ่านการแข่งขันต่างๆ เช่น Red Pepper Fairy, Mr. Pepper และ Red Pepper Auntie Contest

สล็อต

งานที่ใหญ่ที่สุดใน Eumseong-gun ที่เริ่มขึ้นในปี 1982
เทศกาลวัฒนธรรมซอลซอง ซึ่งจัดขึ้นทุกปีตั้งแต่ปี 1982 เพื่อสืบสานและพัฒนาวัฒนธรรมและศิลปะดั้งเดิม และความกลมกลืนระหว่างกองทัพและประชาชน ได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองว่าเป็นงานทางวัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดใน Eumseong-gun และเป็นเทศกาลแห่งความปรองดองระหว่างทหารและ ผู้คนในนามและความเป็นจริง ในเดือนกันยายนของทุกปี ผู้อยู่อาศัยใน 9 เมืองและหมู่บ้านใน Eumseong-gun เข้าร่วมการแข่งขันเกมพื้นบ้าน ดูการแสดงทางวัฒนธรรมและศิลปะต่างๆ เข้าร่วมในกิจกรรมพื้นบ้าน และทำนิทรรศการและนำเสนอ คณะกรรมการส่งเสริมเทศกาลวัฒนธรรม Seolseong ประกอบด้วยหัวหน้าองค์กรต่างๆ ใน ​​Eumseong-gun และหัวหน้างานกิจกรรมที่เข้าร่วมในงานนี้
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 ได้มีการจัดขึ้นร่วมกับเทศกาล Eumseong Clean Red Pepper ซึ่งเพิ่มลักษณะของเทศกาลทางเศรษฐกิจ มันส่งเสริมอึมซองพริกแดง โสม และลูกพีชที่สะอาดซึ่งภูมิใจนำเสนอที่สุดในประเทศ ในปี 2009 แทนที่จะจัดการประกวด Red Pepper Fairy กลับมีการจัดประกวด Eumseong Clean Red Pepper Ajumma และใช้การประกวด Mr. Chilli เพื่อส่งเสริม Eumseong Chilli
เรายังมีการแข่งขันกีฬาและซื้อพริกไทยอึมซองคุณภาพสูงอีกด้วย
เทศกาลวัฒนธรรม Seolseong จัดขึ้นเป็นเวลา 4 วัน โดยวันแรกเป็นวัน Tuullim วันที่สองเป็นวันกีฬาพื้นบ้าน วันที่สามเป็นวันพลเมือง และวันที่สี่เป็นวันเทศกาลเพื่อส่งเสริมรายการและกิจกรรมต่างๆ .
ในวัน Teoullim ซึ่งมีลักษณะเหมือนวันก่อน หุ่นไล่กาจะทำใน Gyeonghojeong ในขณะที่ตลาดนัดในท้องถิ่นและตลาดสินค้าเกษตรพิเศษเปิด ที่ห้องโถงดนตรีกลางแจ้งซึ่งเป็นเวทีหลัก มีการจัดพิธีรวมตัวของเยาวชนมาดัง พิธีฉลองเทศกาลพริกไทยแดง Eumseong และการประกวดคัดเลือกคุณป้าโกชูและมิสเตอร์โกชูเพื่อเพิ่มบรรยากาศ การแสดงดอกไม้ไฟที่ Snow Snow Park เป็นการตกแต่งฉากสุดท้ายของวันก่อน
ในวันที่สองของวันกีฬาพื้นบ้าน พิธีเปิดเทศกาลวัฒนธรรมซอลซองจะจัดขึ้นที่สนามกีฬาสาธารณะอึมซอง โดยมีขบวนแต่งกาย พิธีเข้า และวิ่งคบเพลิง ในฐานะอีเวนต์เกมพื้นบ้านที่เต็มเปี่ยม จะมีการแข่งขันชักเย่อกั้งในสากกรี กิจกรรมจำลองการเล่นเต่า และเกมพื้นบ้านในท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีการจัดกิจกรรมประสบการณ์ต่างๆ เช่น เซรามิก ฮันจิ งานฝีมือจากไม้ และการถูที่ห้องโถงดนตรีกลางแจ้ง และกิจกรรมต่างๆ เช่น คอนเสิร์ตวงดนตรีเงิน การแสดงเพอร์คัชชันแบบดั้งเดิม การแสดงเพลงพื้นบ้านคยองกีพิเศษ และการประกวดร้องเพลงของทหาร ด้วยกัน.
ในวันที่สาม วันประชาชน ทัวร์โรงงานแปรรูปผงพริกแดงสะอาดของสมาคมสหกรณ์การเกษตร Eumseong และทุ่งแห่งความปรองดองระหว่างผู้บริโภคและผู้ผลิตพริกไทยสะอาดของอึมซอง การแสดงพื้นบ้าน เช่น การแสดงอารีรังของคณะปุงมูล การแสดงดนตรีพื้นบ้านลิมซุนไร และการแสดงอุตดารีปุงมูลเปิดห้องจัดเลี้ยง
ในวันที่สี่ของเทศกาล เช่นเดียวกับวันก่อน จะมีการจัดทัวร์โรงงานแปรรูปผงพริกแดง งานเลี้ยง pungmul การประกวดนักเรียน samulnori และการแสดงแซกโซโฟนเซกวัง คอนเสิร์ตพิเศษ Seolseong Cultural Festival ที่จัดโดย Chungju MBC จะเป็นการสิ้นสุด
นอกจากนี้ ยังมีการจัดการแข่งขันวอลเลย์บอล วอลเลย์บอลเท้า มาราธอนระยะสั้น และผลัด 400 ม. เป็นกิจกรรมกีฬาที่ประชาชนมีส่วนร่วม นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการวรรณกรรม นิทรรศการภาพถ่าย นิทรรศการระดับงานอดิเรก นิทรรศการภาพเขียนสีน้ำมัน นิทรรศการคัดลายมือเซรามิก นิทรรศการเย็บปักถักร้อยสมัยใหม่ นิทรรศการคัดลายมือ การนำเสนอผลงานภาคสนาม เป็นต้น

สล็อตออนไลน์

ในอดีตช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง จะเริ่มตั้งแต่พิธีเซ่นไหว้เทพเจ้าเตาไฟในวันที่ 23 หรือ 24 ของปีเก่า จนถึงเทศกาลหยวนเซียวหรือเทศกาลโคม (แรม 15 ค่ำเดือนอ้าย) โดยแต่ละช่วงจะมีพิธีกรรมธรรมเนียมปฏิบัติที่แตกต่างกัน บางส่วนยังคงสืบทอดกันมาถึงยุคปัจจุบัน ขณะที่บางส่วนได้เลือนหายไป หรือแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
ติด “ฝูกลับหัว” (福倒) โชคมงคลได้มาถึงบ้านแล้ว
ระหว่างเทศกาลตรุษจีน ชาวจีนนอกจากนิยมตกแต่งบ้านเรือนด้วยกระดาษแดง ภาพวาด และภาพกระดาษตัดสีสันสดใส สร้างบรรยากาศของความสนุกสนานรื่นเริง และเพื่อเป็นการต้อนรับความสุขและขอโชคขอพร ก็ยังนำอักษรมงคล เช่นตัว ‘福’ (ฝู) หรือตัว 春 (ชุน) มาติดที่บานประตูหน้าบ้าน ตามกำแพง หรือบริเวณเหนือกรอบบนของประตู
การติดอักษรมงคลที่แพร่หลายที่สุด คือ 福 เป็นประเพณีมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยซ่ง และมักติดกลับหัวซึ่งในภาาษจีนกลางเรียก 福倒 (ฝูเต้า)ที่มีความหมายว่า สิริมงคลหรือโชคดีได้มาถึงบ้านแล้ว
เรื่องการกลับหัวตัวอักษรนี้มีเหตุที่มาเมื่อครั้งอดีตกาล ซึ่งเล่าสืบกันมาในหมู่สามัญชนว่า
“สมัยจักรพรรดิหมิงไท่จู่จูหยวนจางแห่งราชวงศ์หมิง ได้ใช้อักษร ‘ฝู’ เป็นเครื่องหมายลับในการสังหารคน หม่าฮองเฮาทราบเรื่องจึงคิดอุบายเพื่อหลีกเลี่ยงภัยดังกล่าวไม่ให้เกิดแก่ราษฎร ด้วยมีพระราชเสาวนีย์ให้ทุกบ้านติดตัวฝูที่หน้าประตูเพื่อลวงให้ฮ่องเต้สับสน
“รุ่งขึ้นชาวเมืองต่างนำตัวอักษรฝูมาติดที่หน้าประตูตามนั้น ทว่ามีบ้านหนึ่งไม่รู้หนังสือจึงติดตัวฝูกลับหัวด้วยความไม่ตั้งใจ เมื่อฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็นเข้าก็ทรงกริ้ว รับสั่งให้ประหารคนในบ้านทั้งหมด หม่าฮองเฮาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบทูลยับยั้งไว้ว่า ‘บ้านนี้ทราบว่าพระองค์จะเสด็จมา จึงตั้งใจติดตัวฝูกลับหัว (福倒-ฝูเต้า) เพื่อแสดงความปิติยินดีต่อการเสด็จเยือนของพระองค์ ราวกับว่าความสุขสวัสดีและโชคลาภได้มาถึงที่บ้าน’ ได้ยินดังนี้แล้วจูหยวนจางจึงไว้ชีวิตชาวบ้านผู้นั้น การติดตัวฝูกลับหัวสืบต่อมานอกจากเพื่อขอโชคสิริมงคลตามความหมายของตัวอักษรแล้ว ยังเป็นการระลึกถึงคุณความดีของหม่าฮองเฮาในเหตุการณ์ครั้งนั้นด้วย”
เชิญเทพผู้พิทักษ์ประตู
ในวันส่งท้ายปีเก่าหรือที่เรียกว่า ฉูซี (除夕) ชาวจีนมีธรรมเนียมในการติด ‘เหมินเสิน (门神)’ หรือ ภาพเทพเจ้าผู้คุ้มครองประตู
‘เหมินเสิน’ มีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาวนาน ในอดีตกาลจะถือตัวประตูเป็นเทพเจ้าโดยตรง จนกระทั่งหลังสมัยราชวงศ์ฮั่น (202 B.C.- ค.ศ.220) จึงได้ปรากฏการใช้ภาพคนมาเป็นตัวแทนเทพเจ้า แรกเริ่มเดิมทีใช้ภาพนักรบผู้กล้านามว่า ‘เฉิงชิ่ง (成庆)’ ต่อมาเปลี่ยนเป็นภาพวาดของ ‘จิงเคอ (荆轲)’ จอมยุทธ์ชื่อดังสมัยจ้านกั๋ว (475 – 221 B.C.)

jumboslot

‘เหมินเสิน’ ในราชวงศ์ใต้และเหนือ (ค.ศ.420 – 589) จะเป็นภาพคู่เทพเจ้าสองพี่น้อง ‘เสินถู (神荼)’ ‘ยูไล (郁垒)’ ตลอดจนสองขุนพลเอกในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618 – 907) ที่มีชื่อว่า ‘ฉินซูเป่า (秦叔宝) และอี้ว์ฉือจิ้งเต๋อ (尉迟敬德)’แต่ต่อมากษัตริย์ถังไท่จงหลี่ซื่อหมินรู้สึกเห็นใจว่าสองขุนพลจะลำบากเกินไป จึงได้สั่งให้จิตรกรหลวงวาดภาพสองขุนพลขึ้นมา แล้วใช้ติดไว้ที่ประตูทั้งสองข้างแทน จึงได้กลายเป็นภาพ ‘เหมินเสิน’ ในเวลาต่อมาเมื่อถึงยุค 5 ราชวงศ์ (ค.ศ.907-960) ได้เริ่มนำภาพของ จงขุย (钟馗) เทพผู้ปราบภูตผีปีศาจ มาติดเพื่อเป็นสิริมงคลด้วย
หลังราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ.960 – 1127) ‘เหมินเสิน’ ยังมีรูปแบบเหมือนก่อนหน้านั้น แต่เพิ่มการประดับตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามขึ้น ในห้องรับแขกและห้องนอนจะมีการติดภาพเทพเจ้า 3 องค์ (三星) ที่เราคุ้นหูกันดีว่า ‘ฮก ลก ซิ่ว (福 – 禄 – 寿)’ นอกจากนั้น ยังมีภาพชุมนุมเทพเจ้า (万神图) ตามอย่างลัทธิเต๋า และภาพพระพุทธเจ้า 3 ปาง ซันเป่าฝอ (三宝佛) ฯลฯ ด้วย
ว่ากันว่า การติดภาพ ‘เหมินเสิน’ ก็เพื่อป้องกันขับไล่สิ่งชั่วร้าย หรือเป็นเสมือนเทพผู้คอยปกปักษ์รักษานั่นเอง
คืนส่งท้ายปีเก่า
ชาวจีนมีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ “ฉูซีเยี่ย (除夕夜)” หรือ คืนส่งท้ายปีเก่าว่า ในยุคโบราณสมัยที่เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ มีสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากตัวหนึ่ง ชื่อว่า “เหนียน (年)” ทุกปีในคืนวันส่งท้ายปี จะขึ้นจากทะเลมาอาละวาดทำร้ายผู้คนและทำลายเรือกสวนไร่นา ในวันนั้นของทุกปีชาวบ้านจึงมักจะหลบกันอยู่แต่ในบ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา และไม่หลับไม่นอนเพื่อเฝ้าระวัง รอจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้นจึงเปิดประตูออกมา และกล่าวคำยินดีแก่เพื่อนบ้านที่โชคดีไม่ถูก “เหนียน” ทำร้าย
ในคืนส่งท้ายปีของปีหนึ่ง “เหนียน” ได้เข้าไปอาละวาดในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กินชาวบ้านจนเรียบ ยกเว้นคู่บ่าวสาวที่เพิ่งแต่งงาน เนื่องจากสวมชุดสีแดงจึงปลอดภัย และเด็กคนหนึ่งที่กำลังเล่นประทัดอยู่กลางถนน ซึ่งเสียงดังจนทำให้ “เหนียน” ตกใจกลัวหนีไป ชาวบ้านจึงรู้จุดอ่อนของ “เหนียน”
ดังนั้น เมื่อถึงคืนส่งท้ายปีเก่า ชาวบ้านจึงพากันสวมใส่เสื้อผ้าสีแดง นำสิ่งของที่มีสีแดงมาประดับตกแต่งบ้านเรือน และจุดประทัด ทำให้ “เหนียน” สัตว์ประหลาดตัวร้ายไม่กล้าออกมาอาละวาดอีก ชาวบ้านจึงอยู่กันอย่างสงบสุข จากนั้นมาจึงมีธรรมเนียมปฏิบัติ ในคืนส่งท้ายปีจะไม่ยอมนอนเพื่อ “เฝ้าปี” หรือเรียกในภาษาจีนว่า โส่วซุ่ย(守岁) เฝ้าดูปีเก่าล่วงไปจนวันใหม่ย่างเข้ามา

slot

ในคืน “เฝ้าปี” สมาชิกในบ้านมีกิจกรรมร่วมกันมากมาย ทั้งด้านการกินและดื่ม ไม่ว่าจะเป็นอาหารทั่วไป เกี๊ยว เหนียนเกา (ขนมเข่ง) เหล้า เบียร์ เมล็ดแตง ของว่าง การเล่นเกม ซึ่งส่วนใหญ่ก็เล่นกันในห้องรับแขก เช่นผู้ใหญ่ก็เล่นหมากล้อม หมากฮอร์ส ไพ่กระดาษ ไพ่นกกระจอก ส่วนเด็กๆ ก็มีเกมแบบเด็กๆ เช่น ขี่ม้าไม้ไผ่ วิ่งไล่จับ ซ่อนแอบ